แสนสิริ ผนึก กทม. รวมพลังผลักดันเมืองสีเขียวแห่งอนาคต เปลี่ยน "วัสดุเหลือใช้" ให้กลายเป็น "ของมีค่า" พร้อมส่งต่อสู่ชุมชน ผ่านโครงการ WasteToWorth x ไม่เทรวม
-
.jpg)
-
แสนสิริบุกเบิก อสังหาฯ รายแรกที่ผนึกกำลัง กทม. เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ด้านการจัดการขยะยั่งยืน ผ่านโครงการ "WasteToWorth" และ "ไม่เทรวม"
-
“1โปรเจค1ผลิตภัณฑ์” แคมเปญเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้เป็นของใช้สร้างสรรค์กว่า 150 ชิ้น ลดขยะได้ถึง 45 ตัน เพิ่มอัตราการรีไซเคิลขยะกว่า 54%
-
ขยายผลสู่ชุมชน เดินหน้ามอบผลิตภัณฑ์อัพไซคลิ่งสู่พื้นที่สาธารณะ สอดรับนโยบาย "สวน 15 นาที" กรุงเทพฯ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชน
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง แสนสิริ ผู้นำอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050 ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยการเป็นผู้บุกเบิกรายแรกในประเทศที่ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ผลักดันนโยบายการจัดการขยะอย่างยั่งยืนระดับเมือง ผ่านโครงการ WasteToWorth และ ไม่เทรวม เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และสร้างคุณค่าใหม่ให้กับขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง และตอกย้ำบทบาทสำคัญของภาคเอกชนในการสนับสนุนนโยบายรัฐด้านสิ่งแวดล้อม
ร่วมพลัง กทม. สร้างบทใหม่แห่งอนาคต
ในปี 2025 แสนสิริพร้อมยกระดับผลลัพธ์โครงการ #WasteToWorth แยกขยะให้เกิดประโยชน์ ที่เริ่มต้นจากภายในองค์กร ขยายผลสู่ระดับเมือง ผ่านการร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแสนสิริในการพัฒนาเมืองและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจากสำนักงานจัดการมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ให้การอบรมแนวทางการจัดการขยะภายในโครงการอย่างเป็นระบบและถูกวิธี? แก่ทีมวิศวกร ทีมพลัส พร็อพเพอร์ตี้ และนิติบุคคลทุกโครงการของแสนสิริ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการบังคับใช้เกณฑ์ค่าธรรมเนียมขยะอัตราใหม่ของกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้
จากผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย สู่ผู้นำการเปลี่ยนแปลงโลก
จากวิสัยทัศน์แห่งการเปลี่ยนแปลงของโครงการ WasteToWorth แยกขยะให้เกิดประโยชน์ของแสนสิริ ล่าสุด สานต่อกับ 1โปรเจค1ผลิตภัณฑ์ แคมเปญที่จะเปลี่ยน "วัสดุเหลือใช้" ให้กลายเป็น "ของมีค่า" ด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีขีดจำกัด ผ่านความเชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบของทีมสถาปนิก วิศวกร ตลอดจนคนงานก่อสร้าง โดยนำเศษวัสดุเหลือใช้จากการก่อสร้างกว่า 80 โครงการทั่วประเทศ มาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่านกระบวนการอัพไซคลิ่ง (Upcycling) อาทิ ชุดอุปกรณ์ออกกำลังกายจากเศษปูน ชุดม้านั่งสวนสาธารณะจากสายยางรัดกล่องกระเบื้อง เก้าอี้จากเศษโลหะเหลือใช้ เป็นต้น ที่ทั้งสวยงาม ใช้งานได้จริง และมีมูลค่า ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ลดขยะได้ 45 ตัน คิดเป็น 71% เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณขยะทั้งหมดในปี 2567 เพิ่มอัตราการรีไซเคิลขยะเป็น 54% ในพื้นที่ก่อสร้าง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 5.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และผลิตผลงานอัพไซคลิ่งมากกว่า 150 ชิ้น จากวัสดุเหลือใช้
ขยายผลสู่ชุมชน สร้างเมืองยั่งยืน 360 องศา
ความยิ่งใหญ่ของโครงการนี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่การจัดการขยะ แต่ยังเป็นการปฏิวัติวิถีชีวิตของชุมชนให้ดียิ่งขึ้นด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์อัพไซคลิ่งให้กับชุมชน โรงเรียน และแคมป์คนงานก่อสร้างของแสนสิริเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ผ่านการร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร คัดเลือกผลิตภัณฑ์อัพไซคลิ่งและสถานที่ส่งมอบให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อสนับสนุนนโยบาย "สวน 15 นาที" ของกรุงเทพมหานคร โดยมีการกระจายผลิตภัณฑ์อัพไซคลิ่ง ทั้งอุปกรณ์ออกกำลังกาย โต๊ะ เก้าอี้ และเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง ให้กับสวนป่าเอกมัย ซึ่งเป็นพื้นที่สวนสาธารณะใจกลางเมืองแห่งใหม่ในเขตวัฒนาและเป็นพื้นที่สาธารณะรอบโครงการของแสนสิริ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้ภายในระยะทาง 15 นาทีจากที่พักอาศัยได้ นอกจากนี้ แสนสิริคงยังใส่ใจคุณภาพชีวิตของคนงานในไซต์ก่อสร้าง ที่เป็นผู้สร้างสรรค์และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ โดยมีการนำผลิตภัณฑ์อัพไซคลิ่งมาเป็นของใช้ภายในแคมป์ เพื่อให้คนงานได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ควบคู่ไปกับแนวทางพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
แสนสิริ มีแผนขยายผลแคมเปญสู่สังคมที่กว้างขึ้น ผ่านการส่งมอบผลิตภัณฑ์อัพไซคลิ่งให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลนเฟอร์นิเจอร์ อย่างโรงเรียนวัดใหม่บำรุงธรรม จ.สุพรรณบุรี เพื่อใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้งอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมสร้างสรรค์อุปกรณ์ออกกำลังกายประเภทบาร์โหนสำหรับยืดความสูงเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่แข็งแรงและพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนและบุคลากรทุกคนอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและกรุงเทพมหานครในครั้งนี้ นับเป็นการบูรณาการระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นประเด็นเร่งด่วนของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาขยะในเขตเมืองใหญ่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง และคาดหวังว่าจะกลายเป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบการพัฒนานโยบายการจัดการขยะในระดับจังหวัด รวมถึงในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยต่อไป