ในปี 2024-2025 แสนสิริได้นำร่องสนับสนุนต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีจำนวน 5,200 ต้น ให้กับเกษตรกร 15 รายในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ คิดเป็นพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 26 ไร่ โดยมี "ไร่แสนชัย" ของ แสนชัย จูเปาะ เจ้าของไร่ Saen Chai Estate ที่ได้รับรางวัลในระดับประเทศ เป็นที่ปรึกษาและต้นแบบสำคัญในการปลูกและแปรรูปกาแฟพิเศษไทย
ต้นกล้ากาแฟที่แสนสิริสนับสนุนนี้ จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 57.2 ตันต่อปี ขณะเดียวกัน เกษตรกรยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากผลผลิตกาแฟที่ปลูก โดยเมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 ต้นกาแฟนี้ จะให้ผลผลิตเฉลี่ย 1 กิโลกรัมต่อต้น คิดเป็นรายได้รวมกว่า 1.56 ล้านบาทต่อปี และปีที่ 5 เป็นต้นไป รายได้อาจเพิ่มขึ้นถึง 2.73 ล้านบาทต่อปีจากผลผลิตที่มากขึ้น
แสนชัย เสริมว่า กาแฟยังสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับพืชผลดั้งเดิม โดยแต่ละครอบครัวสามารถมีรายได้ "หลักแสนบาทต่อครอบครัวต่อปี" ทำให้เกษตรกรสามารถส่งเสียลูกให้เรียน สร้างบ้าน มีรถ และเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นได้ แตกต่างจากพืชผลอื่น ๆ กาแฟมี "ตลาดโลก" ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาพ่อค้าคนเดียว และมีทางเลือกในการส่งออกหากราคาในประเทศต่ำ กาแฟยังเป็น "พืชที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย จึงช่วยปกป้องคุณภาพดิน แหล่งน้ำ และระบบนิเวศโดยรอบ ทั้งหมดนี้ สอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนบนพื้นที่สูงที่ "รักป่า" และ "ไม่ต้องทำลายบ้านของพวกเขา" โดยเฉพาะ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น "ปอดของเอเชีย" จากพื้นที่ป่าที่กว้างใหญ่ ทำให้กาแฟเป็นเครื่องมือสำคัญในการอนุรักษ์ การปลูกกาแฟยังสอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น เป็นเหตุผลให้คนรุ่นใหม่ที่ไปศึกษาหรือทำงานในเมืองกลับมายังบ้านและครอบครัว ช่วยส่งเสริมความผูกพันในครอบครัว และช่วยให้ชุมชนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน โดยไม่ต้องถูกบังคับให้ตัดไม้ทำลายป่าหรือหันไปใช้การปฏิบัติที่ทำลายล้างเนื่องจากความสิ้นหวัง "การเป็นผู้นำด้วยการเป็นแบบอย่าง แทนที่จะแค่บอกให้คนอื่นหยุดทำสิ่งที่ไม่ดี การแสดงให้เห็นว่ากาแฟเป็นอาชีพที่ "ยั่งยืน" และเป็นไปได้และความสำเร็จที่ทุุกคนได้เห็น จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นเปลี่ยน จากการทำเกษตรกรรมที่ทำลายล้าง มาเป็นการทำเกษตรสร้างสรรค์" การนำร่องสนับสนุนต้นกล้าพันธุ์กาแฟไทยให้กับเกษตรกร ถือเป็นพันธุ์กาแฟที่มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกและมีความต้องการสูง นอกจากนี้ การปลูกกาแฟยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืนในระยะยาว และช่วยเพิ่มพื้นที่ป่า ลดมลภาวะทางอากาศ หรือฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ
+ “Future Harvest” สอดคล้องกับแนวทาง ESG แสนสิริ
โปรเจกต์ “Future Harvest” ยังนับเป็นโครงการที่สอดคล้องกับแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) ของแสนสิริในทุกมิติ ทั้งในด้าน Environment (E) แสนสิริได้ดำเนินการสนับสนุนให้เกษตรกรลดการเผาไร่ เพิ่มพื้นที่สีเขียว และลดการปล่อยคาร์บอน ส่วน Social (S) แสนสิริพยายามสร้างอาชีพทางเลือกให้เกษตรกรในท้องถิ่น เช่น ธุรกิจด้านกาแฟ และ Governance (G) ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน
+ ติดตามผลและต่อยอดโครงการ
แนวทางการปฏิบัติของโครงการ “Future Harvest” ไม่เพียงแต่ลงมือทำ แต่ยังมีระบบลงทะเบียนเกษตรกร และมีทีมของคุณแสนชัยร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมกิจกรรมลงพื้นที่ประจำปีโดยทีมแสนสิริ เพื่อประเมินและส่งเสริมการดูแลต้นกล้าอย่างต่อเนื่อง อนาคตในระยะต่อไป แสนสิริมีแผนขยายการแจกต้นกล้ากาแฟสู่กลุ่มเกษตรกรรายใหม่ และต่อยอดสู่พื้นที่อื่น ๆ เพื่อขยายผลสำเร็จจาก อ.กัลยาณิวัฒนา ไปสู่ชุมชนที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนผ่านจากการเผาป่า สู่การอนุรักษ์ป่าด้วยโมเดลกาแฟยั่งยืน "เราหวังว่าการช่วยเหลือเกษตรกรครั้งนี้ จะช่วยให้อำเภอกัลยาณิวัฒนา ที่นำโดย ไร่แสนชัย สามารถเป็นพื้นที่ต้นแบบที่ถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายผลสู้พื้นที่อื่นได้ และเกษตรกรที่ได้รับต้นกล้ากาแฟไปสามารถนำไปเพาะพันธุ์ เพื่อส่งมอบให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ ต่อไปได้ ส่งเสริมให้เขาได้เรียนรู้ในการเป็นผู้รับและผู้ให้ในเวลาเดียวกัน ในระยะถัดไป อาจขยายผลไปยังอำเภอใกล้เคียงหรือพื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่า" สมัชชากล่าว
*เมื่อวันที่ 5-6 มิถุนายน แสนสิริได้พาพนักงานแสนสิริและพลัสพร็อพเพอร์ตี้ ลงพื้นที่ช่วยแจกจ่ายต้นกล้ากาแฟและปลูกกาแฟ ที่อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ พร้อมกันนี้ แสนสิริยังได้สนับสนุนอุปกรณ์เป่าใบไม้ เพื่อใช้สร้างแนวกันไฟป่า หลังเห็นผลกระทบจากไร่แสนชัยที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าในปีที่ผ่านมาทำให้กาแฟที่ปลูกไว้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก