บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI คงความเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ด้วยผลงาน โดดเด่นรักษา
โมเมนตัมผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากปี 2567 อันดับ 1 รายได้และเงินปันผล ส่งผลให้ ไตรมาสแรกปี 2568 บริษัทสร้างยอดขาย (Presale) ได้ถึง 15,000 ล้านบาท (แนวราบ 6,000 ล้านบาท,
คอนโดมิเนียม 9,000 ล้านบาท) เติบโต
สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้
คิดเป็น 28% จากเป้ายอดขาย 53,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ท่ามกลางแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ ความสำเร็จนี้มาจากโครงการพีทีวาย เรสซิเดนซ์ สาย 1 (PTY Residence Sai 1) แฟลกชิพคอนโดมิเนียม ริมหาดพัทยา ด้วยยอดขายสูงถึง 3,300 ล้านบาท กับการจองที่ร้อนแรงที่สุดแห่งปี ดีมานด์ล้น Sold Out ทันทีภายใน 3 ชั่วโมงที่เปิดพรีเซล (29 มี.ค.) สะท้อนความเชื่อมั่นในแบรนด์และบริการหลังการขายที่ใส่ใจ
ไม่มีวันสิ้นสุด คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ลูกค้ายังคงมอบความไว้วางใจอย่างล้นหลาม ทั้งนี้ PTY Residence Sai 1 เป็นหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีชในรอบ 10 ปี บนถนนเลียบหาดพัทยาสาย 1 (พัทยากลาง) ของแสนสิริ เป็น Rare Item
บนที่ดิน Freehold ผืนสุดท้ายที่หาไม่ได้อีกแล้ว
ปัจจัยความสำเร็จถัดมาคือจาก
แผนกลยุทธ์ที่รัดกุมและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โดยโฟกัสไปยังกลุ่มเรียลดีมานด์ และได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารก่อนการจอง ไม่สร้างยอดขายเทียม ทำให้แสนสิริ มีอัตราการยกเลิกสัญญา (Cancellation Rate) ต่ำสุดในตลาด พร้อม Backlog รอรับรู้รายได้อีกกว่า 20,000 ล้านบาท รวมถึง Take-up rate ที่โดดเด่นจากคอนโดมิเนียมที่อยู่ใน Tourism Destination อย่างภูเก็ต พัทยา และหัวหิน โดยภาพรวมไตรมาสแรกแสนสิริเปิด 10
โครงการใหม่ (แนวราบ 2,
คอนโดมิเนียม 8)
มูลค่ารวม 14,000
ล้านบาท
หากเจาะลึกความสำเร็จไตรมาสแรก จะมาจากสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมที่ได้รับการตอบรับที่ดี มี Take-up rate สูง จากโครงการที่มีดีมานด์ของต่างชาติจากเมืองท่องเที่ยว ได้แก่ เดอะ เบส เชิงทะเล ภูเก็ต, PTY Residence Sai 1 พัทยา, กาบานาส หัวหิน รวมถึงกลุ่มสินค้าพร้อมเข้าอยู่ (RTM) อย่างเวย์ โพธิสาร 2 และ เดอะมูฟ ประดิพัทธ์ สะท้อนดีมานด์คอนโด RTM ยังเป็นที่ต้องการอย่างมาก
สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา มองว่าส่งผลกระทบเพียงชั่วคราวเท่านั้น ด้วยมาตรฐานการก่อสร้างอาคารสูงในไทยที่แข็งแกร่ง ทำให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนมุมมองผู้บริโภคใหม่โดยหันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์คุณภาพ ทั้งในด้านมาตรฐานความปลอดภัยของโครงการ และบริการหลังการขาย
ส่วนปัจจัยบวก พบดีมานด์ในกลุ่มแนวราบเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ อาทิ สิริ เพลส, อณาสิริ, เศรษฐสิริ และณริณสิริ อย่างไรก็ตาม ตามสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน แสนสิริเดินหน้าตามแผนควบคู่การประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยคาดว่าไตรมาส 2 จะเปิดตัว 7 โครงการ (แนวราบ 5, คอนโดมิเนียม 2) รวมมูลค่า 15,200 ล้านบาท
ปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ยุค "Buyer's Market" โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ อาทิ การผ่อนคลายมาตรการ?LTV?
ชั่วคราว การลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง ประกอบการกับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง
ช่วยให้ผู้ซื้อบ้านเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และผู้ประกอบการทุกค่ายแข่งขันด้วยแคมเปญดึงดูดใจ ทั้งส่วนลดและข้อเสนอฟรีค่าธรรมเนียมต่างๆ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ยังมีทำเลศักยภาพใหม่ตามแนวรถไฟฟ้า ที่ยังมีราคาไม่สูงมาก แต่มีโอกาสเติบโตในอนาคต ขณะที่ผู้ประกอบการมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นและพัฒนาคุณภาพโครงการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตมากขึ้น
ติดตามข้อมูลโครงการต่างๆ ของแสนสิริ ได้ที่
https://siri.ly/ghLIcYChttps://siri.ly/AzFho14
ข้อมุลเพิ่มเติม