โดย อารยา ศิริพยัคฆ์
อัปเดต :  10/09/2025
อัตราดอกเบี้ย MLR MRR MOR คืออะไร พร้อมวิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้

เรื่องกู้บ้านกับ ดอกเบี้ยบ้าน ดูจะเป็นของคู่กันที่แยกจากกันไม่ได้ แต่เราก็มักมีปัญหากับคำศัพท์ยากๆ ที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้ ทั้ง Fixed Rate, Floating Rate และคำถามสุดคลาสสิกเลยก็คือ เจ้า MLR MRR MOR คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกันแน่ เหตุนี้จึงทำให้หลายคนต้องศึกษาพร้อมทำความเข้าใจ ทั้งรูปแบบสินเชื่อ รวมไปถึงคำศัพท์ต่างๆ ที่พบเจอเมื่อได้ทำการศึกษาอัตราดอกเบี้ยบ้าน โดยในแต่ละคำจะมีความหมายแตกต่างกันไปตามประโยชน์ของผู้กู้ดังนี้


Highlight



ดอกเบี้ย MRR MLR และ MOR คืออะไรและต่างกันอย่างไร


MRR (Minimum Retail Rate) คืออะไร

MRR (Minimum Retail Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ ที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ไม่มีประวัติเสียทางด้านการเงิน อาทิ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นต้น

ตัวอย่าง: ธนาคาร B ออกสินเชื่อที่อยู่อาศัยในวงเงินกู้ 3,000,000 บาท ด้วย ด้วยอัตราดอกเบี้ยบ้านแบบคงที่ MRR -3.125% ตั้งแต่ปีที่ 1-3 หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในเรท MRR -1.50% แสดงว่าอัตราดอกเบี้ยบ้านที่ต้องจ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปตามอัตราดอกเบี้ย MRR


สามารถดูอัตราดอกเบี้ย MRR ล่าสุดของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยได้ ที่นี่


MRR สำคัญต่อการกู้ซื้อบ้านอย่างไร?

เหตุผลที่ MRR สำคัญต่อการกู้ซื้อบ้าน คือ

  1. กำหนดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริง

    อัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้านส่วนใหญ่มักจะระบุเป็น “MRR -x%” เช่น MRR -2.0% โดยดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะขึ้นกับค่า MRR ของแต่ละธนาคารในช่วงเวลานั้น หากธนาคารปรับขึ้นหรือลง ดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายก็เปลี่ยนไปด้วย
  2. มีผลต่อค่างวดผ่อนรายเดือน

    ดอกเบี้ย MRR ที่เปลี่ยนแปลงจะกระทบต่อจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระแต่ละเดือนโดยตรง หาก MRR เพิ่มขึ้น จำนวนผ่อนรายเดือนก็สูงขึ้น หาก MRR ลดลง จำนวนเงินที่ต้องจ่ายรายเดือนก็จะลดลง
  3. ส่งผลต่อภาระหนี้ในระยะยาว

    เนื่องจากการผ่อนบ้านใช้เวลานานเป็นสิบ ๆ ปี หาก MRR ปรับขึ้นหรือปรับลง แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เราต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มหรือลดลงรวมกันเป็นหลักแสนถึงหลักล้านได้ในระยะยาว เราจึงควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของ MRR อยู่เสมอ เผื่อจะวางแผนรีไฟแนนซ์หรือจัดการหนี้ได้ทันท่วงที


ดอกเบี้ย MRR แตกต่างจากดอกเบี้ยชนิดอื่นอย่างไร?

ในตอนที่ยื่นกู้ซื้อบ้านหรือกู้ยืมเงินกับธนาคาร จะเห็นคำว่า MRR, MLR และ MOR ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าต่างกันอย่างไร มาทำความเข้าใจไปพร้อมกัน

  • MRR (Minimum Retail Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่ธนาคารใช้กับลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น ผู้ที่กู้ซื้อบ้านหรือสินเชื่อบุคคล โดยอัตรานี้เป็นดอกเบี้ยลอยตัว สามารถปรับขึ้นหรือลงได้ตามต้นทุนทางการเงิน และนโยบายของแต่ละธนาคาร ซึ่งจุดเด่นของ MRR คือใช้กับลูกค้าบุคคลทั่วไป ไม่ใช่สำหรับบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่
  • MLR (Minimum Loan Rate) แตกต่างจาก MRR ตรงที่ถูกนำไปใช้กับ “ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี” ได้แก่ บริษัทหรือองค์กรที่ทำสินเชื่อระยะยาว ตัวอย่างเช่น สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อเพื่อการลงทุนหรือขยายกิจการ ซึ่งอัตรา MLR มักจะต่ำกว่า MRR และ MOR เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่า และวงเงินกู้ที่สูงกว่า
  • MOR (Minimum Overdraft Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารใช้คิดกับวงเงินเบิกเกินบัญชี (OD) หรือวงเงินสินเชื่อที่ใช้กรณีฉุกเฉินของธุรกิจลูกค้ารายใหญ่ โดย MOR มักจะสูงกว่า MRR และ MLR เพราะเป็นวงเงินที่ปล่อยให้เบิกจ่ายเกินยอดเงินฝาก และมีความเสี่ยงสูงกว่า


MRR เปลี่ยนทุกกี่เดือน?

MRR (Minimum Retail Rate) ไม่มีกำหนดการเปลี่ยนแปลงที่แน่นอน อัตรานี้จะปรับขึ้นหรือลงได้ตามนโยบายของแต่ละธนาคาร และสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม เช่น นโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ต้นทุนทางการเงินของธนาคาร หรือสภาพตลาดแข่งขัน แต่โดยทั่วไปแล้ว ธนาคารมักมีการพิจารณาปรับ MRR ประมาณทุก 3-6 เดือน ดังนั้น ผู้กู้หรือผู้ที่คิดจะกู้บ้านควรติดตามประกาศของแต่ละธนาคารอยู่เสมอF




MLR (Minimum Loan Rate) คืออะไร

MLR (Minimum Loan Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนดเรียกเก็บลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ในที่นี้หมายถึง มีประวัติการเงินดี หลักทรัพย์ค้ำประกันเพียงพอ โดยมักจะใช้กับเงินกู้ระยะยาวที่กำหนดระยะเวลาแน่นอน อย่างสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น

ตัวอย่าง: ธนาคาร A ออกสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจในวงเงินกู้ 3,000,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย MLR -3.96% ต่อปี โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดทั้ง 3 ปี แสดงว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปตามอัตราดอกเบี้ย MLR




MOR (Minimum Overdraft Rate) คืออะไร

MOR (Minimum Overdraft Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ ที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการเบิกเงินเกิน OD จึงทำให้ธนาคารจึงต้องเข้มงวดในการพิจารณาผู้กู้ ทั้งคุณสมบัติของผู้กู้ ประวัติทางการเงิน และหลักทรัพย์ประกัน เป็นต้น

ตัวอย่าง: ตัวอย่าง ธนาคาร C ออกสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการจัดสรรที่ดินพร้อมอาคาร โดยอัตราดอกเบี้ยบ้านเป็นรูปแบบวงเงินเกินบัญชี (OD) หรือ MOR ซึ่งจะอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร




เทียบให้ชัดสรุป MRR MLR และ MOR ต่างกันอย่างไร?

ประเภทดอกเบี้ย ประเภทลูกค้า ประเภทสินเชื่อ ลักษณะเด่น
MRR (Minimum Retail Rate) ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (บุคคลธรรมดา) สินเชื่อบ้าน, สินเชื่อส่วนบุคคล อัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอด
MLR (Minimum Loan Rate) ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี/td> สินเชื่อธุรกิจ, สินเชื่อ SME, เงินกู้ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยลอยตัวต่ำที่สุด (ลูกค้ารายใหญ่มีความน่าเชื่อถือสูง)
MOR (Minimum Overdraft Rate) ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี วงเงินเบิกเกินบัญชี (OD) อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูงที่สุด (ธนาคารรับความเสี่ยงสูง)


ตารางดอกเบี้ย MRR MLR MOR ปี 2568

ธนาคาร MOR MLR MRR
กรุงเทพ 6.75 6.50 6.65
กรุงไทย 6.62 6.50 7.045
กรุงศรีอยุธยา 6.725 6.75 6.87
กสิกรไทย 6.69 6.72 6.78
เกียรตินาคินภัทร 7.60 7.65 7.60
ซีไอเอ็มบี ไทย 7.85 7.825 8.725
ซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ (ไทย) 7.60 6.80 -
ทหารไทยธนชาต 6.95 7.15 7.305
ทิสโก้ 7.45 7.55 7.60
ไทยพาณิชย์ 6.675 6.50 6.775
ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) 8.43 8.93 9.70
เมกะ สากลพาณิชย์ 7 6.5 6.75
ยูโอบี 7.55 7.72 8.275
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 7.65 7.425 8.28
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) 7 7 -
ไอซีบีซี (ไทย) 7.425 7.275 7.35

ที่มาข้อมูล ธนาคารแห่งประเทศไทย (อ้างอิงข้อมูลวันที่ 10 กันยายน 2568)




อัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ (Fixed Rate) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลอยตัว (Float) คืออะไร

ทำความรู้จักประเภทของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

  1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate)

    คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดให้คงที่ ในระยะเวลาสั้นๆ เริ่มต้นตั้งแต่ 1-3 ปี โดยขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อและธนาคารกำหนด
  2. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate)

    คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดตามประกาศ ณ เวลานั้น ซึ่งสามารถขึ้น-ลง ได้ตามสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดเงิน และต้นทุนทางการเงินของธนาคารนั้นๆ




วิธีคิดคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้

  1. วิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate)

คือ การคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งก้อนตั้งแต่เริ่มทำสัญญา และนำไปหารจำนวนงวดทั้งหมดที่ต้องผ่อนชำระ จะได้ดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ต้องจ่ายแต่ละงวด และแม้ว่าผู้กู้จะผ่อนชำระเงินต้นลดลงแล้ว แต่ดอกเบี้ยจะไม่ลดลงตาม อัตราดอกเบี้ยรูปแบบนี้จะนิยมกับรูปแบบสินเชื่อรถ

ตัวอย่าง: นายแสนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในราคา 1.4 ล้านบาท โดยได้ยื่นกู้กับธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งคิดดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี กำหนดระยะเวลาผ่อน 4 ปี ดังนั้นดอกเบี้ยที่นายแสนต้องชำระทั้งหมดตลอดระยะเวลา 4 ปีคือ


เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x ระยะเวลา
1,400,000 x 3% x 4
= ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมด 168,000 บาท


  1. วิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)

คือการคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือที่แท้จริง โดยจะเกิดขึ้นเมื่อผู้กู้ชำระเงินกู้แต่ละงวดแล้วถูกนำมาลดยอดทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยที่ถูกนำมาคำนวณในงวดถัดไปลดลง ดังนั้นหากผู้กู้ต้องการให้หนี้สินหมดไว สามารถทำได้ด้วยวิธีโปะเงินก้อน อัตราดอกเบี้ยรูปแบบนี้จะนิยมกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย

ตัวอย่าง: นายสิริ ผ่อนบ้านกับธนาคารแห่งหนึ่ง โดยมีเงินต้นอยู่ที่ 2 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี จำนวนงวด 36 งวด หรือ 3 ปี ค่างวดต่อเดือนอยู่ที่ 7,900 บาท ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่ลดต้นลดดอกคือ


เงินต้น x ดอกเบี้ยต่อปี x 30 วัน / 365
2,000,000 x 2.5% x 30
= ดอกเบี้ยต่องวด 4,109 บาท


ค่างวดต่อเดือน - ดอกเบี้ยต่องวด
7,900 - 4,109
= เงินต้นที่ต้องจ่ายในงวดนั้น 3,791 บาท


เงินต้นทั้งหมด - เงินต้นที่ต้องจ่ายในงวดนั้น
2,000,000 - 3,791
= เงินต้นคงเหลือ 1,996,209 บาท


อ่านรายละเอียดการเตรียมเอกสารยื่นกู้ได้ ที่นี่

ในฐานะที่เป็นผู้กู้นอกจากจะต้องเข้าใจคำศัพท์และประเภทของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แล้ว ยังต้องคำนึงถึงมาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562


มาตรการคุ้มเข้มสินเชื่อ สัญญาที่ 1 สัญญาที่ 2 สัญญาที่ 3

ที่อยู่อาศัยราคา
ต่ำกว่า 10 ล้านบาท

Low Rise*

ธนาคารให้กู้ได้ไม่เกิน
95%

ของวงเงินกู้

High Rise*

ธนาคารให้กู้ได้ไม่เกิน
90%

ของวงเงินกู้

เคยทำสัญญาที่ 1 แล้ว
ไม่เกิน 3 ปี

ธนาคารให้กู้ได้ไม่เกิน
80%

ของวงเงินกู้

เคยทำสัญญาที่ 1 แล้ว
เกิน 3 ปี

ธนาคารให้กู้ได้ไม่เกิน
90%

ของวงเงินกู้

ธนาคารให้กู้ได้ไม่เกิน

70%

ของวงเงินกู้

ที่อยู่อาศัยราคา
10 ล้านบานขึ้นไป

ไม่เกิน 80%


*Low Rise = บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมไม่เกิน 8 ชั้น

**High Rise = คอนโดมิเนียมเกิน 8 ชั้น

ที่มา: ศคง (ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย), SET


สำหรับใครกำลังวางแผนว่าจะกู้บ้านก็จะต้องทำความเข้าใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย MLR MRR และดอกเบี้ย MOR ในเบื้องต้นก่อน เพราะอัตราดอกเบี้ยทั้งสามอัตราเป็นอัตราอ้างอิงที่ธนาคารใช้คำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อ โดยอาจบวกหรือลบส่วนต่างตามความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะเศรษฐกิจและนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย




คำถามที่พบบ่อย (ดอกเบี้ยบ้าน MLR, MRR, MOR)

Q :

ดอกเบี้ยคงที่กับลดต้นลดดอกต่างกันยังไง

A :

ดอกเบี้ยคงที่และลดต้นลดดอกต่างกันที่วิธีคำนวณดอกเบี้ย ดอกเบี้ยคงที่คิดจากยอดเงินกู้ตั้งต้นตลอดอายุสัญญา ทำให้จ่ายดอกเบี้ยเท่ากันทุกงวด ส่วนลดต้นลดดอกคิดจากยอดเงินต้นคงเหลือ ทำให้ดอกเบี้ยลดลงเรื่อย ๆ ในแต่ละงวดที่ผ่อน


Q :

อัตราดอกเบี้ย MLR มีผลต่อการกู้เงินอย่างไร?

A :

หากอัตราดอกเบี้ย MLR เพิ่มขึ้น จำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระรายเดือนก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หาก MLR ลดลง จำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระก็จะลดลง ทำให้ผู้กู้ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของ MLR อย่างใกล้ชิด


Q :

ทำไมอัตราดอกเบี้ย MRR แต่ละธนาคารไม่เท่ากัน

A :

ดอกเบี้ย MRR แต่ละธนาคารไม่เท่ากัน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อต้นทุนของแต่ละธนาคาร เช่น ปริมาณเงินสำรอง จำนวนหนี้เสีย สภาพคล่อง กลยุทธ์ทางการเงิน และความเสี่ยง


Q :

อัตราดอกเบี้ย MRR ขึ้นทุกปีไหม

A :

อัตราดอกเบี้ย MRR ไม่ได้ขึ้นทุกปี แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย สภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยอื่น ๆ ร่วมกัน


Q :

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี คิดยังไง

A :

ถ้าเป็นดอกเบี้ยแบบคงที่จะมีสูตรในการคิด คือ เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x ระยะเวลา = ดอกเบี้ยทั้งหมดที่ต้องชำระให้ธนาคาร เพียงเท่านี้ก็จะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ธนาคารแล้ว


จ่ายน้อย คุ้มมาก!!
ยูนิตบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ราคาพิเศษ

คู่มืออสังหาฯยอดนิยม

  1. ผ่อนคอนโดเดือนละ 3,000-5,000 ทำได้จริงหรือหลอก? | แสนสิริ อ่านเพิ่มเติม >


  1. ซื้อบ้านควรหันทิศไหนดี ทิศใต้หรือทิศเหนือตามฮวงจุ้ย อ่านเพิ่มเติม >


  1. ดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 1.50% แล้วคนซื้อบ้านได้ประโยชน์อะไร อ่านเพิ่มเติม >


  1. รวมมาตรการกระตุ้นซื้อบ้าน อสังหา 2568 ลดค่าโอน ดอกเบี้ยถูก | แสนสิริ อ่านเพิ่มเติม >


  1. ส้วมตัน ชักโครกกดไม่ลง มีสาเหตุมาจากอะไร พร้อมวิธีแก้ส้วมตันด้วยตัวเอง อ่านเพิ่มเติม >


คำถามที่พบบ่อย

  • A :
  • - ซื้อบ้าน เป็นการลงทุนระยะยาว แต่สามารถสร้างสินทรัพย์ให้ตัวเองได้ และถ้าเลือกซื้อในทำเลที่ดีมีแนวโน้มที่จะสร้างกำไรได้
    - เช่าบ้าน เหมาะกับคนที่ยังไม่มั่นใจเรื่องทำเล และไม่ต้องการที่จะมีภาระผูกพันระยะยาว แต่ก็จะไม่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง และค่าเช่าอาจจะเพิ่มขึ้นหรือถูกบังคับให้ย้ายออก หากเจ้าของบ้านต้องการขายหรือใช้งานเอง

    สามารถเลือกดูโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมน่าลงทุนที่คุ้มค่าน่าซื้อได้ที่แสนสิริ

โครงการที่น่าสนใจ

โครงการพร้อมอยู่
บุราสิริ ปัญญาอินทรา

บุราสิริ ปัญญาอินทรา

บ้านเดี่ยว ปัญญาอินทรา ดีไซน์ใหม่ สไตล์อังกฤษ บนทำเลศักยภาพ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางกว่า 13 ไร่ ทั้งคลับเฮาส์ริมทะเลสาบ และสวนขนาดใหญ่ 2 แห่ง

เริ่มต้นที่ 12.99 ล้านบาท
โครงการพร้อมอยู่
อณาสิริ มะลิวัลย์

อณาสิริ มะลิวัลย์

โครงการบ้านเดี่ยว ขอนแก่น 2 ชั้น จากแสนสิริ บนทำเลแห่งความสะดวก ติด ถ.ใหญ่ มะลิวัลย์ ใกล้สนามบินเพียง 8 นาที

เริ่มต้นที่ 1.99 ล้านบาท
โครงการพร้อมอยู่
อณาสิริ ติวานนท์ - ศรีสมาน

อณาสิริ ติวานนท์ - ศรีสมาน

บ้านเดี่ยว บ้านแฝด สไตล์ญี่ปุ่น ทำเลสะดวก ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วน เติมเต็มทุกความสุข ใช้ชีวิตได้มากกว่า

เริ่มต้นที่ 4.99 ล้านบาท
โครงการพร้อมอยู่
เศรษฐสิริ เสรีไทย

เศรษฐสิริ เสรีไทย

บ้านเดี่ยว เสรีไทย สง่างามเหนือกาลเวลาบนทำเลชั้นนำ ใกล้แฟชั่น ไอส์แลนด์ และรถไฟฟ้าสีชมพู

เริ่มต้นที่ 13.9 ล้านบาท

บทความที่เกี่ยวข้องกับ “สินเชื่อและการเงิน”

ดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% แล้วคนซื้อบ้านได้ประโยชน์อะไร

ดอกเบี้ยนโยบายปรับเป็น 1.50% ประชาชนได้ประโยชน์หรือรับผลกระทบอะไร แล้วคนซื้อบ้านจะได้ประโยชน์อะไรจากมาตราการนี้ วันนี้มีคำตอบ

รวมมาตรการกระตุ้นซื้อบ้าน อสังหา 2568 ลดค่าโอน ดอกเบี้ยถูก

พบมาตรการกระตุ้นซื้อบ้าน อสังหา 2568โอกาสทองของคนซื้อบ้าน ลดค่าโอน ปรับดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเอื้อผ่อนบ้านแบบสบายๆ ถูกใจคนซื้อบ้าน

อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน คอนโด ธนาคารไหนดี 2568 เบี้ยต่ำ เงื่อนไขดี

ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้าน คอนโด (Refinance) ปี 2568 ธนาคารไหนดี เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารชั้นนำ และเครื่องมือคำนวณเงินกู้เบื้องต้น

ดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% แล้วคนซื้อบ้านได้ประโยชน์อะไร

ดอกเบี้ยนโยบายปรับเป็น 1.50% ประชาชนได้ประโยชน์หรือรับผลกระทบอะไร แล้วคนซื้อบ้านจะได้ประโยชน์อะไรจากมาตราการนี้ วันนี้มีคำตอบ

รวมมาตรการกระตุ้นซื้อบ้าน อสังหา 2568 ลดค่าโอน ดอกเบี้ยถูก

พบมาตรการกระตุ้นซื้อบ้าน อสังหา 2568โอกาสทองของคนซื้อบ้าน ลดค่าโอน ปรับดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเอื้อผ่อนบ้านแบบสบายๆ ถูกใจคนซื้อบ้าน

ไม่พลาด ข่าวสารและบทความดีๆ

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อรับข่าวสาร และข้อมูลสิทธิพิเศษจากแสนสิริก่อนใคร

ประเภทโครงการที่คุณสนใจ


เพื่อให้ท่านทราบวิธีและกระบวนการ ที่เราดำเนินการจัดเก็บข้อมูล วัตถุประสงค์การใช้ข้อมูล ​
ท่านสามารถศึกษารายละเอียด แบบแจ้งเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Notice) ได้ที่นี่ คลิก

จ่ายน้อย คุ้มมาก!!
ยูนิตบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ราคาพิเศษ

คู่มืออสังหาฯยอดนิยม

  1. ผ่อนคอนโดเดือนละ 3,000-5,000 ทำได้จริงหรือหลอก? | แสนสิริ อ่านเพิ่มเติม >


  1. ซื้อบ้านควรหันทิศไหนดี ทิศใต้หรือทิศเหนือตามฮวงจุ้ย อ่านเพิ่มเติม >


  1. ดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 1.50% แล้วคนซื้อบ้านได้ประโยชน์อะไร อ่านเพิ่มเติม >


  1. รวมมาตรการกระตุ้นซื้อบ้าน อสังหา 2568 ลดค่าโอน ดอกเบี้ยถูก | แสนสิริ อ่านเพิ่มเติม >


  1. ส้วมตัน ชักโครกกดไม่ลง มีสาเหตุมาจากอะไร พร้อมวิธีแก้ส้วมตันด้วยตัวเอง อ่านเพิ่มเติม >